Friday, June 19, 2009

ไดรฟ์ลับ เปิดได้เฉพาะเราเท่านั้น!!!


หลายครั้งที่นายเกาเหลาได้แนะนำโปรแกรมพวกซ่อนไฟล์โฟลเดอร์ให้เพื่อนๆ ได้เอาไปใช้งาน แต่ก็มีเพื่อนบางคนอยากให้นายเกาเหลาหาโปรแกรมซ่อนไดรฟ์มาแนะนำบ้าง ประมาณว่าไดรฟ์นี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้อมูลลับ

สำหรับโปรแกรมที่ช่วยเราคือ Steganos Privacy Suite 2008 (www.steganos.com) โดยเจ้าโปรแกรมตัวเก่งนี้เป็นโปรแกรมเสียเงินเล็กน้อย หากจะลองใช้ของฟรีก็ทำได้แต่จะถูกจำกัดความสามารถบางอย่างเอาไว้ ซึ่งการสมัครขอใช้ของฟรีจะต้องมีอีเมล์ในการสมัคร และคลิกที่ Test For Free ในหัวข้อของโปรแกรมที่ต้องการลอง คือ Steganos Privacy Suite 20

นาย เกาเหลาขอกระโดดข้ามมาที่ขั้นตอนที่ได้ดาวน์โหลดโปรแกรมมาเรียบร้อย โดยหลังจากที่ติดตั้งโปรแกรมเสร็จ ก็ให้เปิดโปรแกรม เริ่มต้นให้คลิกไอคอน Safe คลิกปุ่ม + แล้วคลิกปุ่ม Next เมื่อเจอคำสั่ง I want to create a new secure drive ให้คลิกเลือกเพื่อสร้างไดรฟ์ลับสำหรับเก็บข้อมูลส่วนตัวขึ้นมาใหม่ คลิก Next จากนั้นให้ตั้งชื่อไดรฟ์ลับ คลิก Next คลิกปุ่ม Browse เพื่อเลือกโฟลเดอร์สำหรับจัดเก็บไฟล์ .sle (ไฟล์ของไดรฟ์ลับ) เลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการ แล้วกำหนดชื่อให้ไฟล์ .sle หรือจะใช้ชื่อเดียวกับชื่อไดรฟ์ก็ได้ คลิก Save และ Next เราจะเข้าสู่หน้าจอสำหรับกำหนดขนาดไดรฟ์ลับ ให้ใช้เมาส์เลื่อนตามใจชอบแล้วคลิก Next ก่อนที่จะกำหนดรหัสผ่าน และกำหนดระดับความยากง่ายในการปลดล็อก คลิก Next รอสักครู่โปรแกรมก็สร้างไดรฟ์ลับให้เรา เมื่อเรียบร้อยให้คลิก Finish โปรแกรมก็จะแจ้งว่าไดรฟ์ลับได้ทำงานแล้ว เวลาจะเปิดใช้งานเพื่อนๆ จะต้องเปิดผ่านโปรแกรม steganos เท่านั้น

นอกจากนี้นายเกาเหลายังไม่ขอแนะนำให้คุณซ่อนไดรฟ์หลักอย่าง C: เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นกับคอมพ์เวลาจะกู้ข้อมูลจะลำบากมากนะจะบอกให้

ทิปจาก : www.arip.co.th

Thursday, June 18, 2009

Speed up by Disable เร่งเครื่องให้เต็มที่ ด้วยวิธีพอเพียง

ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้านั้นผมเชื่อว่า เป็นส ิ่งที่หลายๆ คนต้องเคยเจออย่างแน่นอน หรืออาจจะกำลังเจอกันอยู่ หลังจากที่เพิ่งฟอร์แมตเครื่องไปเมื่อปีใหม่ที่ผ่านม าแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ปัญหานี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ซะด้วย นั่นเพราะว่าวินโดวส์ไม่ดีหรือว่าเราไม่ไม่เข้าใจมัน กันแน่นะ?

ความอืดที่แลกมาเพื่อความสะดวก
จริงๆ แล้วระบบปฏิบัติการทุกตัวก็คงไม่ได้แตกต่างกันมากในเ รื่องของประสิทธิภาพหรอกครับ เพราะมันก็เป็นซอฟต์แวร์เหมือนๆ กัน มันขึ้นอยู่กับว่าซอฟต์แวร์นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างไ ร และให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลอะไรบ้างเท่านั้นเอง และระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่ องของประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการตัวอื่น ๆ

ถ้าลองไปถามใครต่อใครว่าระบบปฏิบัติการตัวไหนที่เร็ว ที่สุด คงไม่มีใครพูดถึงวินโดวส์จริงไหมครับ แล้วถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายและสะดวกที ่สุดล่ะ แน่นอนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นวินโดวส์นั่นเอง ดังนั้นจากจุดนี้เองวินโดวส์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้ งานได้สะดวกจึงทำให้มันมีการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีการทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมให้รองรับการใช้งา นด้านต่างๆ กับผู้ใช้ไว้เสมอ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับล่ะครับ ว่าเราก็ไม่ได้ใช้

คุณเคยสังเกตกันบ้างหรือไม่ครับว่าระบบปฏิบัติการวิน โดวส์ที่คุณใช้อยู่นั้นสามารถทำงานได้ดีมาก จะทำโน่น ทำนี่ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ง่ายไปหมด จะติดตั้งโปรแกรม หรือจะใช้งานอุปกรณ์อะไรก็สามารถรองรับได้หมด แล้วคุณคิดว่าความสามารถทั้งหมดจะต้องการโค้ดหรือชุด คำสั่งที่มีความสลับซับซ้อนมากเพียงใด และโค้ดคำสั่งเหล่านี้จะต้องใช้การประมวลผลจากซีพียู แค่ไหน


Service ต่างๆ ในวินโดวส์
จริงอยู่ว่าคุณอาจจะไม่ได้ใช้งานฟังก์ชันทั้งหมดที่ม ันใส่มาในระบบ แต่ว่าของอย่างนี้ก็เลือกไม่ได้หรอกครับ คนที่พัฒนาซอฟต์แวร์ก็ต้องออกแบบให้มีความสมดุลและเอ ื้ออำนวยให้กับผู้ใช้ทุกๆ กลุ่ม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ภายในเครื่องของเรามีฟังก์ชันกา รทำงานที่ถูกเปิดทิ้งไว้มากมาย โดยที่เราแทบจะไม่เคยได้ใช้ หรือไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ในระบบด้วย


Service ต่างๆ ที่รันอยู่ในวินโดวส์ ลองเลื่อนแถมลงมาดูน่าจะนับได้ราวๆ ครึ่งร้อย

Service ถือว่าเป็นรูปแบบการทำงานของโปรแกรมภายในวินโดวส์อย่ างหนึ่ง โปรแกรมที่อยู่ในกลุ่ม Service นี้จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ใช้ในด้านที่มันรับผิด ชอบ โดยจะคอยทำงานอยู่เบื้องหลัง จะว่าไปก็เหมือนกับโปรแกรมที่ทำงานในลักษณะ Background นั่นเอง แล้วคุณลองคิดถึงซิครับว่าถ้ามี Service ทำงานอยู่ประมาณ 30 ตัว เครื่องจะช้าลงขนาดไหน ทั้งๆ ที่คุณอาจจะได้ใช้งานมันไม่ถึง 10 ตัวเลยด้วยซ้ำไป

เปิดใช้ Service ให้พอเพียง อย่างเพียงพอ
สมัยนี้เป็นยุคพอเพียงครับ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องปิด Service ที่ไม่จำเป็นทิ้ง เพื่อให้คอมพิวเตอร์เอาเวลาที่ต้องไปประมวลผล Service เหล่านี้มาประมวลผลงานที่เราทำจะดีกว่า มาถึงนี้เราจะเข้าไปปิด Service ได้อย่างไร แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง เราจะไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ

วิธีในการเข้าไปจัดการกับ Service
สำหรับ Service ในวินโดวส์นั้น คุณสามารถที่จะเข้าไปจัดการมันได้โดยมีวิธีการคือไปท ี่ปุ่ม Start แล้วเลือกคำสั่ง Run จากนั้นพิมพ์ service.msc ลงไปแล้วกดปุ่ม OK หน้าต่าง Service ก็จะรันขึ้นมาครับ โดยในนั้นจะมี Service มากมายในคุณได้ปรับการทำงาน (Startup Type) โดยจะแบ่งรูปแบบการตั้งค่าดังนี้
  • Automatic ให้เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณเปิดเครื่อง และบูตเข้าสู่วินโดวส์
  • Manual ไม่ให้เริ่มทำงานเอง แต่จะสามารถสั่งให้หยุดหรือเริ่มการทำงานได้โดยผู้ใช ้เอง หรือโปรแกรมบางตัว
  • Disable เป็นการปิดการทำงานของ Service ไม่ให้เริ่มการทำงาน

โหมด Startup ของ Service มีอยู่ด้วยกันหลัก 3 แบบแล้วแต่รูปแบบการใช้งาน

Service ไหนปิดได้บ้าง
เนื่องจาก Service ของระบบวินโดวส์มีอยู่มากมาย บางตัวเป็น Service ของโปรแกรมต่างๆ ที่เราติดตั้งไว้ และบางตัวก็เป็น Service ของระบบเอง ดังนั้นจึงต้องทราบก่อนว่า Service ไหนเป็นของอะไรและจะต้องใช้งานหรือไม่ จึงค่อยตัดสินใจปิดนะครับ เราไปดูกันเลยดีกว่ามี Service อะไรบ้างที่น่าจะปิดกันได้


ใช้คำสั่ง Run แล้วพิมพ์ service.msc เพื่อเข้าสู่หน้าจอ Service



หน้าจอ Service จะมีรายชื่อของ Service ในเครื่องคุณมากมาย



ดับเบิลคลิกที่ชื่อ Service เพื่อตั้งค่าเกี่ยวกับ Service นั้น



คุณสามารถคลิกขวา แล้วสามารถเลือก Start และ Stop เพื่อเริ่มและหยุดการทำงานของ Service ได้ทันที


  • AdobeLM Service: เป็น Service ของ Adobe ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรครับ ถ้าใครมีตัวนี้อยู่ก็ปิดได้เลย
  • Alerter: ตัวนี้ถ้าคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายก็สามาร ถปิดได้เลย
  • Application Management: สำหรับตัวนี้ไม่แนะนำให้ปิดครับ แต่ให้เปลี่ยนเป็น Manual แทน
  • Automatic Updates: Service สำหรับ Windows Update ครับ ม่ควรปิดนอกเสียจากว่าคุณจะใช้วิธีการอัพเดตแบบ Offline อย่างโปรแกรม AutoPatcher แทนครับ
  • ClipBook: เป็นตัวสำหรับแชร์บางอย่างบนเครือข่าย ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว ปิดซะ
  • Computer Browser: ปิดอีกตัวถ้าไม่ได้ต่อกับเครือข่ายเหมือนกัน เพราะมันไว้สำหรับเข้าไปดึงไฟล์จากเครื่องอื่น
  • Cryptographic Services: ตัวนี้เป็นการเข้ารหัส ถ้าไม่แน่ใจว่าจำเป็นไหมก็ตั้งไว้เป็น Manual ครับ
  • Distributed Transaction Service: ตั้งค่าไว้เป็น Manual
  • DNS Client: ตัวนี้เปลี่ยนเป็น Manual ไปก็ได้ครับถ้าไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่าย
  • Error Reporting Service: เวลามีโปรแกรมแฮงก์แล้วให้กดปุ่ม Don’t Sent ก็เพราะเจ้า Service ตัวนี้แหละครับ ดังนั้นปิดมันไปเลย
  • Fast User Switching Compatibility: สำหรับเครื่องที่มีแรมน้อยปิดไปเลยดีกว่าครับ เพราะ Fast User Switching มีไว้สำหรับการสลับการทำงานของ User โดยไม่ต้อง Logout ก่อน ถ้าคุณมีหรือใช้แค่ User เดียวอยู่แล้วก็ปิดไปเลยครับ
  • FTP Publishing: ถ้าไม่ได้ใช้ FTP ก็ปิดได้เลยครับ
  • Help and Support: ถ้าคุณไม่เคยใช้ Help ของ Windows เลย (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้) ปิดไปเลยดีกว่าครับ
  • HTTP SSL: ตั้งไว้เป็น Manual ครับ เผื่อต้องใช้เวลาเข้าเว็บที่มี Secure Login อย่างเว็บ E-Banking
  • Human Interface Device Access: ถ้าคุณไม่ได้ใช้ Hot-key หรือ remote system ก็ปิดไปก็ได้ครับ
  • IMAPI CD-Burning COM Service: Service สำหรับคนที่ใช้ไดรฟ์เขียนแผ่น CD/DVD ไม่ควรปิด แต่ตั้งไว้เป็น Manual จะดีกว่า เพื่อประหยัดเมมโมรี
  • Indexing Service: ตัวนี้เป็น Service ที่กินทรัพยากรสูงมาก สำหรับทำ Index ในการค้นหาข้อมูลในเครื่อง ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้ใช้ฟังก์ชันค้นหาของวินโดวส์เลย ก็ปิดมันไปได้เลย เครื่องจะเร็วขึ้นอีกเยอะ
  • InstallDriver Table Manager: ตัวนี้ปิดไปได้เลยเหมือนกันครับ ไม่ส่งผลต่อการทำงาน
  • IPSEC Services: ตั้งไว้เป็น Manual ดีกว่า
  • Windows Messenger: ถ้าคุณไม่ได้ใช้ Windows Messenger (ไม่ใช่ MSN Messenger หรือ Windows Live Messenger นะครับ) ก็รีบปิดไปเลยครับ เพราะมันกินแรมเยอะมาก
  • MS Software Shadow Copy Provider: อันนี้ตั้งค่าให้เป็น Manual ครับ
  • Net Logon: อันนี้เปิดได้เลยครับถ้าไม่ได้เชื่อมต่อระบบเครือข่า ย
  • NetMeeting Remote Desktop Sharing: สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ Remote Desktop อยู่แล้วก็ปิด Service นี้ไปได้เลยครับ
  • Network Provisioning Service: ถ้าไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายก็ปิดอีกเหมือนกัน
  • NT LM Security Support Provider: ปิดไปได้อีก 1 ตัวเลยครับ
  • NVIDIA Display Driver Service: สำหรับคนใช้การ์ดจอ nVidia แล้วไม่ได้เปิดใช้ nVidia Desktop ก็ปิดดีกว่าครับ
  • Office Source Engine: ตัวนี้ปิดไปได้อีกเหมือนกัน ใช้ในกรณีที่ MS Office ของคุณมีปัญหาแล้วต้องการซ่อมแซมไฟล์ระบบ ซึ่งคุณสามารถใช้แผ่น CD ติดตั้งที่มีอยู่มาแทนได้อยู่แล้ว
  • Portable Media Serial Number Service: ตัวนี้ตั้งไว้เป็น Manual ครับเพราะเราน่าจะใช้สื่อแบบพกพากันบ่อยอยู่แล้ว
  • Print Spooler: ถ้าคุณไม่ได้มีพรินเตอร์ก็ปิดไปได้อีกแล้ว
  • Protected Storage: ปิดไปเลยครับ ถ้าคุณไม่ได้ให้คนแปลกหน้ามานั่งเครื่องคุณอยู่แล้ว
  • Remote Desktop Help Session Manager: เป็นอีกหนึ่งตัวที่ถ้าคุณไม่ได้ใช้ Remote Desktop ก็ปิดไปจะดีกว่า
  • Remote Procedure Call Locator: อันนี้ให้ตั้งไว้เป็น Manual ครับ
  • Remote Registry: รีบปิดไปเลยครับ Service นี้ ถ้าเปิดไว้อาจจะเป็นภัยในภายหลังได้
  • Removable Storage: ตัวนี้ไม่ควรปิดครับเพราะเราใช้พวกแฟลชไดรฟ์อยู่แล้ว อย่างดีก็แค่ตั้งไว้เป็น Manual ครับ
  • Routing and Remote Access: อันนี้ให้ตั้งเป็น Manual ครับ
  • Secondary Logon: ไม่ค่อยมีประโยชน์ครับ ปิดไปได้เลย หรือถ้าไม่แน่ใจก็ปรับเป็น Manual
  • Security Accounts Manager: ปิดไปเลยก็ได้ครับไม่ได้ใช้อยู่แล้วนอกจากจะใช้การเข ้ารหัสบน NTFS
  • Security Center: อันนี้ก็ปิดไปด้วยก็ได้ครับ กินทรัพยากรเครื่องไปเปล่าๆ
  • Server: ถ้าคุณไม่ได้ต่อกับเครือข่ายก็ปิดไปอีกตัวหนึ่งครับ
  • Smart Card: ไม่มีค่อยมีใครใช้ Smart Card กับเครื่องที่บ้านใช่ไหมครับ ดังนั้นปิดไปเถอะ
  • SSDP Discovery Service: ใช้สำหรับรองรับอุปกรณ์เครือข่ายแบบ UPnP ดังนั้นไม่มีก็ปิดครับ
  • Task Scheduler: ถ้าคุณไม่ได้ตั้งการทำงานอะไรไว้ที่ Task Scheduler อย่างสแกนดิสก์ หรือจัดเรียงข้อมูลก็ปิดครับ
  • TCP/IP NetBIOS Helper: ตั้งไว้เป็น Manual ครับตัวนี้
  • Telnet: ถ้าคุณเป็นผู้ใช้ตามบ้าน Telnet คงไม่ใช้ ดังนั้นปิดครับ แต่ถ้าคุณชอบซนหน่อยอาจจะตั้งเป็น Manual ก็ได้
  • Terminal Services: ถ้าคุณไม่ใช้ Remote Desktop ก็ปิดไปอีกเหมือนกัน
  • Uninterrupted Power Supply: ปิดไปได้เลยครับถ้าคุณไม่ได้ต่อ UPS เข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน COM Port
  • Universal Plug and Play Device Host: อันนี้ปิดไม่ได้ครับ แต่ตั้งให้เป็น Manual ได้
  • User Privilege Service: อันนี้ให้ตั้งเป็น Manual ครับ
  • Volume Shadow Copy: ปิดไปได้เลยครับถ้าคุณไม่ได้ใช้ System Restore ของวินโดวส์
  • Windows Firewall/Internet Connection Sharing (ICS): อันนี้จะเปิดไว้ก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณมีซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์อยู่แล้วมันจะซ้ำซ้อนก ันเล็กน้อย ดังนั้นปิดดีกว่า (ถ้าคุณมีซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์นะ)
  • Windows Image Acquisition (WIA): ใช้สำหรับดึงภาพออกจากกล้องดิจิตอลและสแกนเนอร์ ปิดถ้าไม่ได้ใช้
  • Windows Media Connect: ถ้าคุณไม่ได้มีเครื่องเล่น MP3 ที่รองรับการ Sync ข้อมูลกับ WMP ได้ก็ปิดไปได้เลยครับ
  • Windows Media Connect (WMC) Helper: ปิดตัวนี้ด้วยครับ มันสัมพันธ์กับตัวข้างบน
  • Windows Time: ถ้าไม่ได้ใช้ระบบตั้งเวลากับ Server ก็ไม่ต้องใช้ครับ
  • Wireless Zero Configuration: ปิดไปถ้าไม่ได้ใช้เครือข่ายไร้สาย
  • WMI Performance Adapters: อันนี้ก็ปิดได้ครับ สำหรับการใช้งานทั่วไป
  • Workstation: ปิด Service อันนี้ด้วยครับถ้าคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่าย
ข้อควรระวัง
การแก้ไขการตั้งค่า Service ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงครับ ถ้าคุณปิด Service ที่สำคัญกับระบบอาจจะทำให้การทำงานบางอย่างไม่สามารถ ทำงานได้หรือส่งผลเสียหายต่อระบบ ดังนั้นควรอ่านรายละเอียดของ Service แต่ละตัวให้ดีเสียก่อน และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ก็อย่างไปปรับมัน หรือปรับเป็น Manual แทนที่ปิด เพื่อลดความเสี่ยงลง


แต่ละ Service จะมีคำอธิบายอยู่ข้างๆ ด้วย ก่อนปรับแต่ควรทำความเข้าใจว่า Service นั้นทำหน้าที่อะไร และจำเป็นต้องใช้หรือไม่


สรุป
จะเห็นได้ว่ามี Service ที่บางครั้งเราไม่ได้ใช้งานเลย หรือนานๆ ใช้ทีอยู่มากมายในเครื่องเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรของเครื่องไ ปโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะคนที่ใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้เชื่อมต่อกับระ บบเครือข่ายจะเห็นว่ามี Service ที่ไม่ได้ใช้อยู่เป็นจำนวนมากเลย

ก็ถือว่าเป็นทางเลือกอีกหนึ่งทางสำหรับคนที่ต้องการเ พิ่มความเร็วให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่ามันอาจจะมีประโยชน์มากๆ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณจะต้องเสียความสามารถบางอย่า งของวินโดวส์ไปด้วยในปิดแต่ละ Service หรือว่าถ้าตั้งเป็น Manual พอมีการใช้งานทีหนึ่งก็ต้องเสียเวลามารัน Service อีกอยู่ดี ดังนั้นได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ แต่สำหรับคนที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องใช้งานอะไรบ้ างก็สามารถปิดส่วนที่ตนเองไม่ใช้งานจริงๆ และปรับเป็น Manual ในส่วนที่ใช้งานนานๆ ทีได้ เพียงแค่นี้ก็น่าจะเพิ่มความเร็วให้กับเครื่องคอมพิว เตอร์ได้อีกไม่มากก็น้อยล่ะครับ


ข้อมูลจาก : thaigaming.com


COMPUTER.TODAY

วิธีกู้ Windows XP แบบไม่ต้องลงใหม่

ถ้าวินโดวส์มีป้ญหาไม่สามารถบู๊ตขึ้นภาพ Windows XP คุณๆจะมีวิธีของตนเอง เช่น เอาไฟล์ที่ ghost ไว้มาใช้ แต่ก็ปัญหาคือ ไฟล์ที่ได้ไม่ใช่ข้อมูลปัจุบัน หรือ format ลงวินโดวส์ใหม่ชึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยต้องลงโปรแกร มใหม่เป็นสิบตัว ยังต้องเสียเวลา Crack อีก ข้อมูลที่คุณทำไว้ก็หายหมด ผมมีวิธีการกู้แบบง่ายๆ ไปหาวิธีแบบยาก แล้วแต่เหตุการณ์ และสาเหตุ ซึ่งจะมีเทคนิคดังนี้

เทคนิคที่ 1 กู้แบบง่ายๆ

-สาเหตุ : ปกติคุณๆ มักชอบติดตั้งโปรแกรมใหม่ๆ เพิ่มเติม ผลปรากฎว่าเมื่อติดตั้งแล้วพอบู๊ตใหม่กลับบู๊ตไม่ขึ้ น สาเหตูอาจมาจากโปรแกรมที่ติดใหม่ ติดตั้งไฟล์ระบบตัวเก่าทับตัวใหม่ ทำให้วินโดวส์ไม่รู้จักไฟล์ระบบ เลยทำให้เกิดหน้าจอดำค้างไม่บู๊ตเข้าหน้าจอเดสก์ทอป

-วิธีแก้ไข : อาจจะใช้วิธี System Restore ใน Safe Mode โดยกดปุ่ม F8 ค้างไว้ ขณะบู๊ตเครื่องใหม่ แล้วเลือกไปที่หัวข้อ Safet Mode กู้วันที่ย้อนหลังครั้งล่าสุดที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกร ม หรือจะให้สะดวกกว่านี้ก็ให้เลือกหัวข้อ "Last Know Good Configuration" ก็จะกู้ระบบครั้งล่าสุดให้ทันที ทำให้บู๊ตเข้าวินโดว์ส ได้ตามเดิม

เทคนิคที่ 2 ก๊อปปี้ไฟล์ระบบ 3 ตัวทับไฟล์ระบบเดิม

-สาเหตุ :ถ้าวินโดวส์ไม่บู๊ตหรือรันหน้าต่าง Start up...Windows XP เลย อาจเป็นที่ไฟล์ Boot Sector ของไฟล์ระบบเสีย หรือมีปัญหาขัดแย้งกับไฟล์ ntldr หรือ ntdetect.com ทำให้บู๊ตไม่ขึ้นภาพ

-วิธีแก้ไข :ให้ก๊อปปี้ไฟล์ระบบจากเครื่องอื่นที่ลง Windows XP เหมือนกันหรือคุณจะก๊อปปี้ไฟล์ระบบที่เครื่องคุณเอาไ ว้ก่อนที่เครื่องจะมีปัญหาก็ได้ ด้วยใช้คำสั่ง xcopy ผ่านโหมด command line โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

1. ก๊อปปี้ 3 ไฟล์ข้างนี้ โดยใส่แผ่นเปล่า (1.44MB)ลงในไดรว์ a:

Click the image to open in full size.


เมื่อก๊อปปี้เสร็จเอาเก็บไว้ใช้ในขั้นตอนต่อไป

2.บู๊ตเครื่องใหม่ แล้วกดปุ่ม F8 ค้างไว้ เพื่อไปหน้าจอ Safe Mode

3.เอาแผ่นดิสก์ที่ทำไว้แล้วตามข้อ 1 ใส่ไปที่เครื่อง ออกไปที่ DOS Prompt แล้วพิมพ์คำสั่งก๊อปปี้ไฟล์ตามข้างล่างนี้

Click the image to open in full size.


4.กดปุ่ม enter ตามหลังคำสั่ง

5. บู๊ตเครื่องใหม่อีกครั้ง ก็จะสามารถเข้าหน้าเดสก์ทอปของวินโดวส์ได้ตามเดิม

เทคนิคที่ 3 ซ่อมวินโดวส์ ด้วยแผ่นบู๊ต Boot CD Rom

-สาเหตุ : ปัญหานี้ส่วนใหญ่ สืบเนื่องจากการติดตั้ง Patch file ตัวใหม่ๆ แล้วไม่สามารถรองรับไฟล์ระบบของวินโดวส์หรือก็อปปี๊ไ ฟล์ .dll, .vdx, .inf ผิดเวอร์ชั่น หรือเผลอลบไฟล์ระบบบางตัว ก็เป็นสาเหตุได้ ฉะนั้นหากแก้ด้วยวิธีที 1,2 ไม่หาย ก็ต้องใช้วิธีที่ 3 ซ่อมแซมไฟล์ระบบใหม่ แทนที่จะเสียเวลาติดตั้งใหม่ วิธีนี้ก็จะช่วยย่นเวลาให้น้อยลง

-วิธีแก้ไข : เตรียมแผ่นบู๊ต CD Windows (แผ่นติดตั้งวินโดวส์) ใส่ใน CD-ROM แล้วบู๊ตเครื่องใหม่ จากนั้นทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

Click the image to open in full size.


1.เมื่อเข้าหน้าจอ Windows to Setup หน้าแรก ให้คุณกด Enter ผ่านขั้นตอนนี้ไป

Click the image to open in full size.


2.จากนั้นก็จะเข้าหน้าจอ windows XP Lincesing Agreement หน้าที่สอง กดปุ่ม F8 เพื่อยอมรับการติดตั้งใหม่

Click the image to open in full size.


3.เมื่อเข้าหน้าจอการติดตั้ง Windows XP Pro..Setup เลือกไดรฟ์ที่ติดตั้ง แล้วกดตัว R เพื่อซ่อมแซ่มไฟล์ที่สูญหายให้กลับคืนมาดังเดิม เมือเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรมต่างๆที่ติดตั้งไปก็ย ังคงใช้ได้เหมือนเดิมไม่ต้องติดตั้งใหม่ให้เสียเวลา

ปล. สำหรับผู้ที่ใช้ Harddisk แบบ SATA ในตอนบู๊ตแผ่นติดตั้ง Windows ให้กด F6 เพื่อติดตั้งไดรว์เวอร์ SATA ก่อนเข้าขั้นตอนที่ 1 ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้นวินโดวส์จะมองไม่เห็น Harddisk

เครดิต : คุณ augie จาก Pantip
ข้อมูลจาก : thaigaming.com

COMPUTER.TODAY

Friday, June 12, 2009

เครื่องมือแปลภาษาจาก Google!!!

ในตอนนี้ ไมว่าเราจะอยากรู้อะไรก็ จะเข้าเวป Google ก่อนเสมอ อยากเล่นเกมก็เข้า Google แล้วก็ search คำว่า เกมลงไป เราก็จะ ได้เล่นเกมแล้ว สะดวกและรวดเร็ว มาก นอกจากนี้ Google ยัง ได้ผลิต เครื่องมือใหม่ๆ มามากมาย

เข้าเรื่องกันเลย Google Translate!!! เครื่องมือแปลภาษาจาก กูเกิ้ล สามารถแปลได้หลายภาษามาก

Albanian
Arabic
Bulgarian
Catalan
Chinese
Croatian
Czech
Danish
Dutch
English
Estonian
Filipino
Finnish
French
Galician
German
Greek
Hebrew
Hindi
Hungarian
Indonesian
Italian
Japanese
Korean
Latvian
Lithuanian
Maltese
Norwegian
Polish
Portuguese
Romanian
Russian
Serbian
Slovak
Slovenian
Spanish
Swedish
Thai
Turkish
Ukrainian
Vietnamese

นี่คือภาษาทั้งหมดที่ กูเกิ้ล Translate สามารถแปลได้ สมมติ เราพิมไปว่า "สวัสดี" กูเกิ้ลก็จะแปลออกมาว่า Hello,hi (ในกรณีืที่เป็นภาษาอังกฤษ) ถ้าเป็นภาษาญี่ปุ่นหละ กูเกิ้ลจะแปลออกมาว่า "こんにちは。" (ซึ่งแปลว่าสวัสดี) สำหรับใครที่อ่อนภาษา สามารถใช้เครื่องมือ ของกูเกิ้ลนี่แหละแปลออกมาได้ แต่จะไม่ถูกใจ 100% ย้ำนะครับอาจจะไม่ถูกใจ 100% เพราะว่า เครื่องมือเหล่านี้จะไป ฉลาดกว่าสมองคนได้ยังไงหละ ใครที่อ่อนเรื่องภาษาก็ลอง ดูนะครับ Google Translate ใครอยากลองก็พิมคำว่า Google Translate ใน GooGle ดูนะครับ จบละ (- -)

รู้จักโน้ตบุค มากกว่าเดิม ก่อนซื้อ

การจะซื้อโน้ต บุ้คมาใช้สักเครื่องก็เหมือนกับการเลือกคบใครสักคนมาเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท จนถึงคู่รัก ที่เราต้องรู้เขารู้เรา รู้นิสัยใจคอของกันและกัน ถึงจะไปกันอย่างราบรื่น การเลือกซื้อโน้ตบุ้คก็เช่นกันครับ ต้องรู้จักโน้ตบุ้คแต่ละยี่ห้อว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง รู้จักตัวตนของยี่ห้อนั้นๆ วันนี้ผมจึงนำทิป “คิดจะซื้อโน้ตบุ้ค ต้องรู้จัก(นิยาม)โน้ตบุ้คแต่ละยี่ห้อ “ มาฝากเพื่อนๆทุกคน

ในปัจจุบันนี้ เจ้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เราคุ้นเคยกันนั้น เริ่มจะตกกระป๋องแล้วล่ะ เมื่อมี ลูกหลานของมันถือกำเนิดขึ้นมา ได้แก่ โน้ตบุ้ค คอมพิวเตอร์ตัวเล็กที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนก็ได้ เป็นการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในปัจจุบันที่ต้องการความรวดเร็ว และมีพื้นที่ในการอยู่อาศัยที่จำกัด

ในเมื่อ โน้ตบุ้คเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน มีมากมายหลายยี่ห้อให้เราเลือก และเราจะรู้ได้ไง ว่ายี่ห้อไหนดีหรือไม่ดี


sony และ fujitsu เป็นแบรนด์ที่ข้ามฟากข้ามทะเลมาจากแดนปลาดิบทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองยี่ห้อนี้เหมือนกันตรงที่ ออกแบบได้ดีและหรูหรา สวยงามมาก แต่ราคาค่อนข้างแพง


โดย ถ้ากล่าวถึง sony นั้น เราจะนึกถึงความหรูหรา มีสไตล์ นำเทรนด์สมัยใหม่ ถ้าจะเปรียบเหมือนผู้หญิง ก็คงจะเป็นสไตล์คุณหนู ที่แต่งตัวดีมีระดับ แต่แฝงความน่ารักสดใส ตามสมัยนิยม


fujitsu ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราเช่นกัน แต่จะเน้นไปกลุ่มผู้ใช้พวกนักธุรกิจมากกว่าแต่ในปัจจุบันนี้เริ่ม ลงมาลุยในกลุ่มระดับกลางแล้ว



Hp/Compaq เป็นnotebook ที่ประสิทธิภาพดียี่ห้อหนึ่งเลย แต่มีข้อเสียตรงที่ มีปัญหาไดร์ฟเวอร์ถ้าลง XP ทั้ง HP และ Compaq เป็นแบรนด์ในค่ายเดียวกัน โดย HP นั้นจะเน้นทำตลาดระดับบน ส่วน Compaq จะเน้นระดับล่าง ประมาณว่า สินค้าดีราคาถูกนั่นเอง


Lenovo เป็นnotebook ที่ดีไซน์อาจไม่โดนใจสักเท่าไหร่ ด้วยดีไซน์อาจจะโบราณไปนิด แต่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน เนื่องจาก เป็นลูกหม้อของ IBM แต่ผลิตที่จีนนั่นเอง


Toshiba คล้ายๆกับ lenovo ขึ้นชื่อเรื่องความทนเช่นเดียวกัน แต่ราคาค่อนข้างแพงสักนิดหนึ่ง และที่สำคัญ ของเขามีคุณภาพนะ ตามสโลแกนที่ว่า “โตชิบา นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต “ หุหุ




Benq กำลังมาแรงแซงทางโค้งเลย ขึ้นชื่อเรื่องการ์ดจอ เนื่องจาก การ์ดจอดีๆแต่ราคาถูกกว่าเจ้าอื่น อย่างเช่น รุ่น s41 เป็นต้น benq มีข้อเสียในเรื่องของเคสที่ค่อนข้างบอบบางและมีปัญหาความร้อน



Dell ยี่ห้อ นี้มีลักษณะการขายแบบขายตรง คือต้องโทรสั่งผ่าน เซลล์ คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการขายแบบนี้ แต่คุณภาพของ dell นั้นการันตีเลยว่ายอด ที่สำคัญการซัพพอร์ทนั้นดีมากๆ ซัพพอร์ทกันถึงบ้านเลยทีเดียว


Asus เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ประสิทธิภาพดีแต่ราคาก็ค่อนข้างแพงหน่อย และมีปัญหาเรื่องแกนจอพับในบางรุ่น เช่น F8 A8 แต่ตอนนี้ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว

อ้อ ถ้าพูดถึง Asus ถ้าไม่พูดถึงเรื่อง โน้ตบุ้คราคาประหยัดก็คงไม่ได้ เพราะ Asus เป็นผู้บุกเบิกตลาด โน้ตบุ้คราคาประหยัด อย่าง Eee Pc เลย


Axioo โน้ตบุ้คน้องใหม่ สัญชาติ สิงคโปร์ (ผลิตโดย Axioo International ประเทศสิงคโปร์ แต่จริงๆแล้ว แบรนด์ Axioo เป็นของอินโด นะคร๊าบ) โดยจุดเด่นของ Axioo นั้น อยู่ที่ ความสะดวกในการพกพา และเอกลักษณ์ในด้านดีไซน์ ซึ่งกล้าออกสีมากกว่าเจ้าอื่นๆ ถึง หนึ่งเท่าตัว ( อย่าง ในรุ่น Zetta มีให้เลือกถึง 8 สีเลยนะ ) เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเทรนด์ โน้ตบุ้คสีสัน ในขณะนี้


MSI แบ รนด์นี้ คอ oc คงจะรู้จักกันอย่างดี เพราะ MSI เป็นผู้ผลิตเมนเบอร์ด ที่ถือได้ว่าเป็นชั้นแนวหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะ การนำมาทำ oc (overclock) แต่เมื่อประมาณ ปี 2549 MSI เริ่มมาทำตลาดโน้ตบุ้คในบ้านเรา จุดเด่นของ MSI นั้นอยู่ที่อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายใน ที่เชื่อถือได้ว่า ยอดเยี่ยมและมีคุณภาพ ดูจาก ชื่อของ MSI ก็น่าจะการันตีได้อยู่แล้ว


Atec และ SVOA 2 ยี่ห้อของคนไทย ตอนนี้ยังมีให้เลือกไม่กี่รุ่น แต่ยังไงก็ขอฝากรุ่นนี้ไว้ด้วยนะครับ แหะๆ แบบว่าไทยช่วยไทยอ่ะเนอะ


Acer โน้ตบุ้คชื่อดัง อันดับ 1 ในไทย สเปกดีราคาถูก แต่หลังๆเริ่มมีชื่อเสียออกมา เพราะมีปัญหาเยอะ อย่างว่า Acer เป็นโน้ตบุ้คตลาด ทำออกมาเยอะ ขายเยอะ คนใช้เยอะ ก็ไม่แปลกที่จะพบปัญหามากมายตามมา

โดยตอนนี้ Acer กำลังมาแรง แบบฉุดไม่อยู่เลย กับ Acer aspire One โน้ตบุ้ครุ่นเล็กของทาง Acer ที่ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของทั้ง MSI WIND และ Asus Eee PC

หลายๆคนเมื่อรู้จัก โน้ตบุ้คยี่ห้อต่างๆเหล่านี้ คงจะเจอยี่ห้อที่ถูกใจกันแล้วล่ะ เหมือนกับเวลาที่เราได้รู้จักใครสักคน ได้เป็นเพื่อน ได้สนิทกัน รู้จักกันมากขึ้น ก็เริ่มหลงรักเขา ฮ่าๆ เหมือนผมเลยนะเนี่ย แอบรักเพื่อน สุดท้ายก็เจ็บเอง เอ้าๆ นอกเรื่องแล้วเรา จริงๆผมอยากจะฝากไว้นิดหนึ่งว่า


" ความจริง แล้วในการเลือกซื้อ โน้ตบุ้คหรืออุปกรณ์ไอทีอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับ ปัจจัยอีกหลายประการ เช่น จุดประสงค์ในการนำไปใช้งานของเรา รูปลักษณ์ คุณสมบัติ ความชอบส่วนตัวของเรา ที่สำคัญ คือเงิน สิ่งนี้ขาดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเงิน ก็ซื้อไม่ได้ครับ ฮ่าๆ "


โดย CS26@CMU
ที่มา http://www.notebookspec.com

Thursday, June 4, 2009

สุดยอดการแปลง PDF เป็น word เนียนมาก ๆ ได้ผล 99.99%

วันนี้ผมมีโปรแกรมแปลง PDF เป็น word มาแนะนำใช้ได้ผลดีมาก ๆ เลย ด้วยโปรแกรม Able2Extract 3.0 ดาวน์โหลดได้โปรแกรมได้ที่นี่ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

1. หลังการติดติดตั้งให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา ให้คลิกที่ Open ดังรูปด้านล่าง เพื่อหาไฟล์ PDF ที่ต้องการแปลง

2. ให้ทำการเลือกตำแหน่งที่ต้องการแปลง หรือถ้าต้องการแปลงทั้งหมดก็ไปที่เมนู Edit > Select All Pages

3. คลิกที่ตัว W ดังรูปด้านล่าง

4. คลิกที่ Convert

5. แล้วคลิกที่ Convert อีกครั้ง

6. จากนั้นตั้งชื่อไฟล์ และเลือกว่าจะเก็บไว้ที่ไหน แล้วคลิกที่ Save

เพียงเท่านี้คุณก็สามารถแปลงไฟล์ PDF เป็น word ได้แล้วครับ

บทความและรูปภาพจากเว็บไซต์ bcoms.net


เปลี่ยนหน้าตา logon เดิมๆ ได้ง่ายๆ ตามใจคุณ (ต่อ)

6.

ขั้น ตอนต่อมาของเรา หลังจากที่ได้ไฟล์ " Logonui " มาเป็นที่เรียบร้อย ให้เราเข้ามาที่ c:\windows\system32 จากนั้นให้เรามองหาไฟล์ที่ชื่อว่า " Logonui " เมื่อเจอแล้ว ก็ให้ทำการ copy มาเก็บไว้เพื่อเป็นไฟล์ backup ในกรณีที่ไม่พอใจกับหน้าตาใหม่ของหน้า Logon ที่เราจะทำการเปลี่ยนใหม่


7.


ขั้น ตอนนี้ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยครับ หลังจากทำการ backup เจ้า Logonui เดิมของ Windows เป็นที่เรียบร้อย ก็ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่อง PC ของเราเพื่อที่เราจะมาทำการเปลี่ยนหน้า Logon ให้เป็นสไตล์ของเรา ตามที่ได้เลือกเอาไว้แล้ว


8.


ใน ขั้นตอนนี้ก็คือหลังจากทำการรีสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้เราทำการเข้าสู่ Safe Mode ของ Windows ทั้งนี้ขั้นตอนในการเข้าสู่ Safe Mode ของ PC แต่ละเครื่องนั้นจะแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่แล้วระหว่างรอที่หน้า Bios จะโชว์หน้า Post Bios หลังจากรีสตาร์ท ให้เราทำการกดปุ่ม F8 หรือ F5 ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์ของเมนบอร์ด

9.


เมื่อ เลือกเมนูเข้าสู่ Safe Mode เป็นที่เรียบร้อยและรอโหลดเสร็จสิ้น เราจะพบกับหน้า Logon ที่ยังคงเป็นหน้ามาตรฐานของ Windows อยู่ และในหน้า Logon บนโหมด Safe Mode นี้เราจะมี User ปรากฎขึ้นมา 2 user ให้เลือก ให้เราทำการเลือก Logon เข้าไปจาก User ของเราเอง ในภาพที่ปรากฏคือ User ที่ใช้ชื่อว่า OCZ


10.


เมื่อ Logon เข้ามาสู่ Safe Mode ของ Windows เป็นที่เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะมีการกำหนดจุด Check Point ของ System Restore หรือไม่ก็ตาม แต่ก็แนะนำว่าควรที่จะกระทำในขั้นตอนนี้ เพื่อที่มีความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น เราจะได้สามารถที่เรียกค่าใช้งานก่อนที่จะเกิดปัญหามาได้ จากนั้นให้เราทำการเข้าไปที่ c:\windows\system32 อีกครั้ง และก็มองหาหรือจะไม่มองหาก็ได้ สำหรับไฟล์ที่ชื่อ " Logonui " ต่อมา เราก็ต้องไปนำไฟล์ " Logonui " ที่เราได้ทำการ Download มาเก็บไว้ก่อนหน้านี้ จากเวปไซด์ www.themexp.org และให้ทำการเปลี่ยนชื่อไฟล์ตัวที่ทำการ Download มาให้มีชื่อเดียวกับไฟล์ที่อยู่ในโฟลเดอร์ System32 นั่นก็คือ " Logonui " และทำการ copy มาวางทับแทนที่ไฟล์ตัวเดิมของ Windows เอง และจากชื่อที่เราต้องเปลี่ยนให้เหมือนกัน เมื่อทำการนำมาวางทับแทนที่ตัว Windows ก้จะมี popup ขึ้นมาถามว่า ต้องการเซฟไฟล์ใหม่แทนที่ไฟล์เก่าหรือไม่ ก็ให้ทำการกด yes ยืนยันไป เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงหน้าตา Logon Screen ของ Windows บนเครื่องของเรา


เมื่อ ขั้นตอนทั้งหมดทั้ง 10 ขั้นตอนของเราเสร็จสิ้นแล้ว เราก็เพียงแค่ทำการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อกลับเข้าสู่โหมดปรกติ จากนั้นเราก็จะพบกับหน้า Logon Screen ตามที่เราต้องการในสไตล์ของเราเอง จากที่ได้เลือกเอาไว้ เรียกได้ว่าไม่ซ๊ำใคร ไม่จำเจอีกต่อไป ในที่นี้ตามที่ผมได้เลือกไว้ในตอนแรกกับภาพ SUBARU Impresa เวลานี้ หน้า Logon ของผมก็เปลี่ยนมาเป็นภาพที่ผมต้องการแล้ว เห็นมั๊ยครับไม่ยากเลยใช่มั๊ยครับ กับขั้นตอนเพียง 10 ขั้นตอนก็ทำให้เราได้หน้า Logon Screen ที่ไม่เหมือนใคร ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว


Conclusion


นี่หละครับ กับการเปลี่ยนความซ๊ำซากจำเจของรูปแบบเดิมๆที่พบเห็นกันอบยู่บ่อยๆของหน้า Logon Screen ที่เราต้องพบเจอกันเป็นประจำ ซึ่งในวันนี้เราก็ได้เห็นกันไปแล้วว่ามันสามารถเปลี่ยนไปตามสไตล์ที่เราต้อง การได้ ด้วยขั้นตอนและกรรมวิธีง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมเสริมใดๆ ไม่ทำให้กินกำลังเครื่อง กำลังซีพียู และใช้พื้นที่แรมของเราเพิ่ม เป็นเพียงการเข้าไปแก้ไขข้อมูลบางส่วนของตัว Windows เองเท่านั้น ตามที่กล่าวไปตรงนี้ดูแล้วสิ่งจำเป็นที่สุดที่เราต้องมีนอกจากเครื่อง PC นั้น ก็คงจะเป็นระบบอินเตอร์เนตเท่านั้น ที่เราจำต้องมีเพื่อเข้าไปเลือกหาไฟล์ที่เราต้องการ เลือกหาหน้าตา Logon ในรูปแบบาที่เราชื่นชอบ ในส่วนของขั้นตอนที่เหลือก็เป็นเพียงการยุ่งเกี่ยวกับตัว Windows เท่านั้น

จากขั้นตอนที่เราได้แบ่งออกเป็นข้อๆ แบ่งออกได้ทั้งหมดประมาณ 10 ขั้นตอนด้วยกัน อาจจะดูว่าค่อนข้างกระชับเข้าใจง่าย แต่ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าทุกๆคนจะเข้าตรงกันหรือไม่ อยากจะขอเตือนสำหรับเพื่อนๆทุกท่านไว้ก่อนซักนิดว่า ก่อนที่จะเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงหน้าตา Logon ตามขั้นตอนทั้งหมดนี้ ควรที่จะทำความเข้าใจกับขั้นตอนทั้งหมดให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อน เพราะในบางขั้นตอนนั้น หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้ว อาจจะส่งผลต่อตัว Windows ให้เกิดความเสียหายขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายก็คิดว่ามันคงไม่ยากเกินความสามารถอย่างแน่นอน สำหรับวันนี้กับเทคนิคดีๆ เทคนิคง่ายๆ ในวันนี้ก็คงจะทำให้เพื่อนๆหลายๆคนคงสนุกกับการเปลี่ยนหน้าตา Logon Screen ก็ลองทำกันดูนะครับ ส่วนผลก็คงต้องขอตัวหละครับ สวัสดีครับ

Credit:Overclockzone

เปลี่ยนหน้าตา logon เดิมๆ ได้ง่ายๆ ตามใจคุณ

สวัสดีครับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ชาวโอเวอร์คล๊อกโซนทุกท่าน วันนี้ผมนาย ZoLKoRn ก็มีอะไรแปลกมานำเสนอกันอีกครั้ง สำหรับในวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องราวของทริปเล็กๆน้อยในการเปลี่ยนโฉมหน้าของระบบปฏิบัติการ หรือ Windows OS ที่เราใช้งานกันอยู่เป็นประจำ โดยในวันนี้สิ่งที่ผมจะมานำเสนอกันให้ชมนั้น จริงๆแล้วผมก็เชื่อว่าอาจจะมีใครๆหลายๆคนพอจะทราบบ้างแล้ว หรือเคยเล่นอยู่บ้าง และก็ยังเชื่ออีกว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทุกๆคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง และไม่ยากอย่างที่คิด จะเพียงแค่ว่า " รู้หรือไม่รู้ " เสียมากกว่า อย่างนั้นเดี๋ยวเรามาติดตามดูกันเลยหละกันครับว่า ในวันนี้ผมจะมีอะไรแผลงๆมาให้เล่นกันอีกหรือเปล่า ตามมาชมพร้อมๆกันเลยครับ


เรื่องราวที่ผมได้แย้มไปนิดหน่อยในตอนต้นไปแล้วว่า วันนี้เราจะมาเปลี่ยนโฉมของระบบปฏิบัติการหรือเจ้า OS Windows ที่เราๆท่านๆใช้งานกันอยู่เป็นประจำ และสิ่งที่ว่านั้นก็คือวันนี้เราจะมาเปลี่ยนหน้าตาของเจ้าหน้า Logon ที่เห็นกันทุกวัน หลังจากที่ทำการเปิดเครื่องเข้าสู่ระบบ และผมก็มั่นใจเลยว่าต้องมีหลายๆท่านที่มีอาการเดียวกับผม นั่นก็คือเบื่อมันจริงๆ ^^" จริงมั๊ยครับ ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรกับมันดีหละ ว่าแล้วเราก็มาจัดการเปลี่ยนแปลงหน้าตาของมันให้สวยงามกว่าที่เป็นอยู่กัน เลย แล้วจะทำกันอย่างไร

สำหรับกรรมวิธีขั้นตอนการเปลี่ยนโฉมของเจ้า Logon Screen ของเราในวันนี้นั้น จะมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเข้าใจอย่างแต่อย่างไร และที่สำคัญก็ไม่ต้องมีการใช้โปรแกรมเสริมใดๆ ต้องการเพียงระบบอินเตอร์เนต และเครื่อง PC ของเราเท่านั้น และมันจะมีขั้นตอนอะไรบ้าง เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น ผมจะขอแบ่งขั้นตอนการทำงานทั้งหมดออกเป็นข้อๆ และเรามาติดตามดูกันเลยครับ

1.


เริ่ม แรกกับขั้นตอนแรกเลยนั้น ตามที่บอกไปว่าเราต้องมีอินเตอร์เนตเสียก่อน และถ้ามีมันอยู่แล้วเราก็ต้องเริ่มต้นกันที่การเข้าสู่เวบไซด์ www.themexp.org และก็ค่อนข้างมั่นใจว่าหลายๆท่านคงจะรู้จักกับเวบไซด์แห่งนี้กันบ้างแล้ว

2.


เมื่อ เข้ามาสู่เวบไซด์ www.themexp.org เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้เรามองหาหัวข้อที่เราต้องการนั่นคือ Logins ( ตามลูกศรสีแดงที่ชี้ไว้ในภาพ )

เข้า มากันที่หัวข้อ Logins กันแล้ว เราก็จะพบกับหัวข้อย่อยมากมายที่เพิ่มขึ้นมา ในส่วนนี้ก็จะเป็นการแบ่งหมดแบ่งหมู่เอาไว้ให้เราเลือกกันได้ตามความสะดวก หากใครที่ชื่นชอบในรูปแบบไหนก็ลองเลือกดูได้ตามอัธยาสัยเลยครับ สำหรับผมในวันนี้ก็ทดลองเลือกจากโหมด Cars มาลองกัน หลังจากที่เลือกกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ให้ทำการ Download เซฟเก็บไฟล์ที่ต้องการลงมาในเครื่อง PC ของเรา

3.


สำหรับ ผมในวันนี้ ก็เจอรูปถูกใจที่จะมาทำการเปลี่ยนหน้า Logon ของ Windows ที่ใช้อยู่แล้วครับ กับภาพ SUBARU Impresa ตัวโปรดของผม ไม่รอช้าก็กด Download ทันที


เมื่อ ทำการกด Download กันแล้วจากภาพที่เราพอใจ แต่ก่อนที่เราจะนำมันมาใช้งานนั้น เรามาดูกันสักนิดก่อนว่าไฟล์ที่เราต้องการมันจะต้องเป็นเช่นไร โดยไฟล์ที่เราจะสามารถนำมาใช้งานได้ในครั้งนี้นั้น จำเป็นจะต้องเป็นไฟล์ที่ในลักษณะของ .Zip หรือ . RAR เท่านั้น หากมันมาเป็นไฟล์ในฟอแมต .EXE เราจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ เราก็ต้องเลือกหาภาพใหม่ที่มันมาในฟอแมต .Zip หรือ .RAR ส่วนจะเพราะอะไรนั้น เดี๋ยวเรามาดูกันต่อถึงเหตุผลของมัน


4.


เมื่อ ไฟล์ที่เราทำการ Download ในฟอแมต .Zip หรือ .RAR เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เราทำการแตกไฟล์นั้นออก และข้อมูลที่อยู่ภายในนั้นอาจจะได้มาที่แตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นสำคัญมันจะอยู่ที่ไฟล์ที่มีชื่อว่า " Logonui " ซึ่งเป็นไฟล์หลักที่เราต้องการ ส่วนไฟล์อื่นๆนั้นอาจจะไม่ต้องมีก็ได้ เพราะจะเป็นเพียงข้อมูลไฟล์ที่ไม่จำเป็น อย่างเช่นภาพพรีวิว หรือไฟล์ภาพ User Logon เท่านั้น


5.


เมื่อ ได้ไฟล์ที่เราต้องการแล้วนั่นคือไฟล์ที่มีชื่อว่า " Logonui " แต่ใช่ว่าไฟล์ที่เรา Download มาทุกตัวจะใช้ชื่อนี้ไปทั้งหมด อย่างเช่นไฟล์ที่เราได้รับมาในวันนี้ จะใช้ชื่อไฟล์มาว่า " LogonuiX " แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่ามันจะสามารถใช้งานได้ ไม่ยากครับ ให้เราทำการคลิ๊กขวาตรวจสอบไฟล์จาก Properties เมื่อเข้ามาสู่หน้า Properties แล้ว ให้เราตรวจสอบจาก Internal Filename และ Original File Name ซึ่งชื่อตรงนี้ของไฟล์ที่เราโหลดมาจะต้องเป็น " LOGONUI " เท่านั้น ส่วนในรายละเอียดอื่นๆไม่จำเป็น

  © Blogger template 'External' by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP